Bliss Coffee


PAYDAY

4.8/5
4.6/5
Hours
Minutes
Seconds
ขายไปแล้ว 6,789
จำนวนสินค้าที่เหลือก่อนหมดโปรโมชั่น 94%

Bliss Coffee

เมล็ดกาแฟคั่วพิเศษ อาราบิก้า โรบัสต้า แบลนด์ ทั้งไทย และ ต่างประเทศ และอุปกรณ์กาแฟ

เมล็ดกาแฟ อาราบิก้า 100% จากดอย ปางขอน จ.เชียงราย ซึ่งปลูกบนพื้นที่ เหนือระดับน้ำทะเล ระดับความสูง มากกว่า 1,400 เมตร สายพันธุ์ อาราบิก้า – คาติมอร์ ทำให้ได้ เมล็ดกาแฟ ที่มีคุณภาพดีเยี่ยม กลิ่นหอมโดดเด่น รสชาตินุ่มละมุน

เมล็ดกาแฟ โรบัสต้า 100% จาก อ.คลองท่อม จ.กระบี่
แหล่งวัตถุดิบธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์
ใกล้กับ แหล่งน้ำพุร้อนเค็ม หนึ่งเดียว ในประเทศไทย
ทำให้ได้กาแฟโรบัสต้า ที่มีรสชาติ เข้มข้น โดดเด่น
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

เมล็ดกาแฟ Blend : อาราบิก้า + โรบัสต้า
( อาราบิก้า ปางขอน เชียงราย + โรบัสต้า คลองท่อม กระบี่ )
ความหอม ที่ผสาน ความเข้มข้น ได้อย่างลงตัว
สั่งระดับการคั่วได้ : คั่วกลาง หรือ คั่วเข้ม

Play Video

3 ปัจจัยหลักที่ทำให้เมล็ดกาแฟคั่วเสื่อมคุณภาพ

1.อากาศ การที่เมล็ดกาแฟคั่ว หรือกาแฟคั่วที่บดแล้ว สัมผัสกับอากาศโดยตรงเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในเมล็ดกาแฟคั่วมีน้ำมันอยู่ในเมล็ด และเมื่อน้ำมันสัมผัสกับอากาศ (ออกซิเจนในอากาศ) จะทำให้เมล็ดกาแฟคั่วมีกลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไป ซึ่งคล้ายกับการที่เราตั้งน้ำมันที่ใช้ทำอาหารทิ้งไว้แล้วสัมผัสกับอากาศเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนได้เช่นเดียวกัน

วิธีป้องกัน
หลีกเลี่ยงการนำกาแฟคั่วสัมผัสกับอากาศโดยตรงเป็นเวลานาน เปิดใช้กาแฟเท่าที่พอใช้ เมื่อใช้ไม่หมดควรเก็บใส่ขวดโหลที่ปิดสนิทหรือในถุงกาแฟที่ลมออก โดยเฉพาะอย่างยิงถ้าเราบดเมล็ดกาแฟแล้ว จะเป็นการเพิ่มพื้นที่ ที่สัมผัสกับอากาศมากขึ้นทำให้ผงกาแฟเสื่อมคุณภาพได้เร็วมาก ดังนั้นหากไม่จำเป็นเราจึงควรหลีกเลี่ยงการบดกาแฟทิ้งไว้ครั้งละมาก ๆ

2. ความชื้น เมื่อเรานำเมล็ดกาแฟคั่ว หรือกาแฟคั่วที่บดแล้ว มาไว้ในพื้นที่ที่ชื้นหรือมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ จากคุณสมบัติที่เมล็ดกาแฟมีความสามารถในการดูดความชื้นและกลิ่นได้ดี เมล็ดกาแฟจะดูดซับสิ่งเหล่านั้น และทำให้เกิดรสชาติและกลิ่นที่เปลี่ยนไปจากเดิม

วิธีป้องกัน
หลีกเลี่ยงการเก็บเมล็ดกาแฟในพื้นที่ที่มีความชื้น เช่น การเก็บเมล็ดกาแฟในตู้เย็น พื้นที่ใต้อ่างล้างมือ หรือพื้นที่ที่ใกล้กับห้องน้ำ

3. ความร้อนและแสง เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้กาแฟคายแก๊ส (Degas) เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้กาแฟเก่าเร็วขึ้นด้วยนั่นเอง

วิธีการป้องกัน
ความร้อนและแสงทั้งที่เกิดในธรรมชาติและหลอดไฟหรือ สิ่งที่ให้กำเนิดความร้อนจะทำให้กาแฟเก่าเร็วขึ้น การป้องกันคือ กาแฟที่ยังไม่ได้เปิดถุง หลีกเลี่ยงการเก็บกาแฟไว้ในที่ที่มีความร้อน เช่น บนหลังเครื่องชงกาแฟ ส่วนกาแฟที่เปิดถุงแล้วหรือเหลือจากการใช้งานให้เก็บในภาชนะที่เป็นสุญญากาศและเก็บไว้ในตู้ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก

การเก็บรักษา
ในกรณีที่ยังไม่เปิดบรรจุภัณฑ์ ควรเก็บบรรจุภัณฑ์ไว้ในพื้นที่ที่ปลอดภัยจาก ความร้อน แสง และความชื้น
ในกรณีที่เปิดบรรจุภัณฑ์แล้ว หากใช้ไม่หมด ควรปิดถุงให้สนิทด้วย เครื่องซีล หรือ เทปให้สนิท หรือใส่ในโหลแก้วที่มีแถบสุญญากาศ เพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดกาแฟสัมผัสกับอากาศ

คำแนะนำ

  1.  ไม่ควรบดกาแฟค้างโถพัก (Doser) นานจนเกินไป เพราะหลังจาก 30 นาที รสชาติและกลิ่นของกาแฟจะลดลง ควรบดให้เหมาะสมกับการใช้งาน และถ้าหากไม่ได้ใช้งานเมล็ดกาแฟแล้ว แต่ยังเหลือเมล็ด กาแฟในโถกาแฟ (Hopper) ก็ควรนำเมล็ดกาแฟทั้งหมดใส่ในโหลที่ปิดสนิท เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพเมล็ดกาแฟให้สามารถใช้ได้ในวันถัดไป
  2. เมล็ดกาแฟควรบรรจุในถุงฟอยด์ที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปภายในถุง และควรมี “วาล์วทางเดียว” (One Way Valve) สำหรับให้เมล็ดกาแฟได้คายแก๊สออกมาภายนอก
  3. เราควรทราบวันคั่วของเมล็ดกาแฟ โดยสอบถามผู้จำหน่าย เพื่อคำนวณการสั่งซื้อและระยะเวลาในการใช้งานได้อย่างเหมาะสม
  4. ควรคำนึงถึงการสั่งซื้อเมล็ดกาแฟให้เหมาะสมกับการขาย โดยที่เมล็ดกาแฟจะมีระยะการคายแก๊ส 5 – 7 วัน และมีอายุการใช้งานประมาณ 1 เดือนหลังจากวันที่คั่ว ดังนั้นเราอาจใช้วิธีการสั่งเมล็ดกาแฟเป็นรอบ สัปดาห์หรือเดือน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากสั่งเมล็ดกาแฟทุก ๆ 2 สัปดาห์ และใช้เมล็ดกาแฟสัปดาห์ละ 5 กิโลกรัม ก็ควรสั่งเมล็ดกาแฟใช้ครั้งแรกสุด15 กิโลกรัม โดย 10 กิโลกรัมสำหรับใช้ปกติ และอีก 5 กิโลกรัม ใช้เพื่อให้เมล็ดกาแฟรอบถัดไปมีระยะเวลาในการคายแก๊ส และในการสั่งครั้งต่อไปจะเหลือครั้งละ 10 กิโลกรัม ตามปกติ
    เมล็ดกาแฟแต่ละระดับการคั่วอาจมีระยะเวลาในการคายแก๊สและอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งบางท่านอาจจะชอบรสชาติของเมล็ดกาแฟที่เพิ่งคั่วเสร็จใหม่ ๆ หรือบางท่านอาจจะรู้สึกว่า กาแฟที่มีอายุเกิน 3 เดือนแล้ว ยังคงมีรสชาติที่ดีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องของการรับรสของแต่ละคน แต่สำหรับร้านกาแฟนั้น เรื่องของคุณภาพสำคัญที่สุด ดังนั้นเจ้าของร้านหรือบาริสต้าควรทำความเข้าใจกับเมล็ดกาแฟที่ใช้ และหาจุดที่ดีที่สุด ของเมล็ดกาแฟ เพื่อส่งต่อเครื่องดื่มที่พิเศษที่สุด สำหรับลูกค้าทุกคน

6 เคล็ดลับ การ ดริปกาแฟ ให้หอมกรุ่นโดยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

  1. เลือกใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ
  2. เก็บรักษาเมล็ดกาแฟอย่างถูกวิธี
  3. เลือกใช้ฟิลเตอร์ที่มีคุณภาพ
  4. อุณหภูมิต้องแม่นยำ
  5. บดเมล็ดกาแฟอย่างเหมาะสม
  6. ทำความสะอาดอุปกรณ์อยู่เสมอ

สภาพแวดล้อมที่ทำลายคุณภาพของกาแฟ ได้แก่

  • อากาศ (ออกซิเจน) เป็นตัวทำให้เกิดการ Oxidize เปลี่ยนสารที่ให้กลิ่นหอมในเมล็ดกาแฟคั่ว ให้กลายเป็นกลิ่นหืนอันไม่พึงประสงค์
  • ความชื้น (น้ำ, ละอองน้ำ) เป็นตัวที่ทำให้กาแฟมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนไป
  • ความร้อน ทำให้สารให้กลิ่นหอมและรสชาติที่ดีในกาแฟระเหยออกไปเร็วขึ้น
  • แสงแดด หรือ แสงสว่าง ทำให้เกิดความร้อนขึ้นในภาชนะที่เก็บกาแฟ และยังเร่งให้เกิดปฏิกิริยา Oxidization
    ดังนั้นการเก็บกาแฟเพื่อรักษาคุณภาพจึงควรเก็บให้ห่างจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้กาแฟเสื่อมคุณภาพ ซึ่งในสภาพการทำงานในร้านกาแฟนั้นเราสามารถทำได้โดย เก็บเมล็ดกาแฟกลับคืนหีบห่อเดิมจากนั้นไล่อากาศออกจากถุงให้หมด ปิดปากถุงให้แน่นด้วยเทปกาว และนำทั้งถุงใส่ในขวดโหลสุญญากาศ ซึ่งหากเป็นโหลที่ทำจากวัสดุประเภทเซรามิกส์ ก็จะดีมาก นำโถไปเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น ห่างจากแสงแดดและความร้อน (แต่ไม่ใช่ตู้เย็น) ควรทำเช่นนี้ทุกวันหลังจากหมดการขาย ไม่ควรปล่อยกาแฟทิ้งไว้ในเครื่องบด

ทั้งที่เป็น “กาแฟ” เหมือนกัน แต่กาแฟแต่ละแก้วก็ให้รสชาติและความอร่อยแตกต่างกัน สงสัยมั้ยว่าเป็นเพราะอะไร ไปหาคำตอบกันเลยดีกว่า

  1. สายพันธุ์ของกาแฟ : กาแฟที่นิยมดื่มในประเทศไทย มี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้าและโรบัสต้า โดยกาแฟพันธุ์อาราบิก้า นิยมปลูกในภาคเหนือ ให้รสชาตินุ่มๆ ไม่เข้มข้น ปริมาณคาเฟอีนน้อย แต่จะมีจุดเด่นที่ความหอม ส่วนกาแฟพันธุ์โรบัสต้า นิยมปลูกในภาคใต้ ให้รสชาติเข้มข้นเป็นพิเศษ มีรสขมกว่า และมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่า
  2. การคั่ว : เป็นขั้นตอนที่ใช้ดึงรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัวของกาแฟออกมา การคั่วมีหลายระดับ ตั้งแต่ Light Roast (อ่อนที่สุด) ไล่ไปจนถึง French Roast (เข้มที่สุด) ก่อนนำไปคั่วกาแฟจะมีสีอ่อน มีรสเปรี้ยว ไม่ขม เมื่อนำไปคั่ว จึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีที่เข้มขึ้น และสารภายในเมล็ดกาแฟก็จะทำปฏิกิริยาให้เกิดเป็นรสขม ดังนั้น เมื่อคั่วไปนานๆ กาแฟก็จะมีสีเข้มและมีรสที่เข้มขมมากขึ้น
  3. การเก็บรักษา : ยิ่งเก็บดี ก็ยิ่งรักษาความอร่อยของกาแฟไว้ได้มาก จึงควรเก็บกาแฟไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิด อยู่ในที่แห้งและอุณหภูมิไม่สูงเกินไป เพราะกาแฟที่โดนอากาศ แสงแดด ความร้อน และความชื้นบ่อยๆ ผงกาแฟอาจจับเป็นก้อน กลิ่นหอมอาจเริ่มจืดจาง หรือบางครั้งอาจมีกลิ่นหืนได้
  4. อุณหภูมิของน้ำ : เชื่อว่าอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการชงกาแฟ คือ 94 องศาเซลเซียส หรือ น้ำที่เดือดแล้วปล่อยทิ้งไว้สักครู่ ไม่ควรใช้น้ำเดือดจัดชงกาแฟ เพราะอาจสูญเสียความหอมและเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้กาแฟมีรสขมกว่าปกติ นอกจากนี้ อาจลองละลายผงกาแฟด้วยน้ำเย็นเล็กน้อยก่อนเติมน้ำร้อน จะทำให้กาแฟค่อยๆ ปล่อยกลิ่นหอมออกมาได้มากขึ้น
  5. ส่วนผสมอื่นๆ : บางคนไม่นิยมดื่มกาแฟเพียวๆ เนื่องจากไม่คุ้นชินกับรสชาติ โดยทั่วไปจึงนิยมเติมส่วนผสม เช่น น้ำตาล ครีม และนมลงไปในสัดส่วนที่แตกต่างกัน เพื่อให้ถูกใจผู้ดื่มมากขึ้น แต่หากชอบความแปลกใหม่ อาจลองเติมส่วนผสมอื่นๆ เพื่อเพิ่มความอร่อย อาทิ น้ำตาลบราวน์ชูการ์ ให้กลิ่นหอมและรสกลมกล่อมเป็นพิเศษ ผงโกโก้ ให้ความหอมมัน ดื่มง่าย
  6. บรรยากาศ : ส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ความรู้สึก การอยู่ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายจะทำให้เราเปิดใจรับรสและกลิ่นของกาแฟอย่างเต็มที่ จึงมักรู้สึกว่ากาแฟมีรสชาติดีเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การมีเพื่อนดื่มที่รู้ใจ ยังช่วยให้การดื่มกาแฟมีความสุขมากขึ้นด้วย

ทั้ง 6 ปัจจัยนี้แหละ ที่ทำให้รสชาติของกาแฟแต่ละแก้วแตกต่างกัน อย่าลืมเลือกแบบที่เหมาะกับตัวเองที่สุด เพื่อการดื่มกาแฟที่ได้อรรถรส

เรามารู้จัก ศัพท์เฉพาะเรียก รสชาติ กาแฟ แบบมืออาชีพ กันดีกว่า

  • Acidity: เอซิดิตี้ คือความเปรี้ยวนั่นเอง ความเปรี้ยวเหล่านี้จะทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ซึ่งเป็นธรรมชาติของกาแฟมักเจอในกาแฟระดับคั่วอ่อนหรือคั่วกลาง แต่หลายคนที่ไม่ชินอาจส่ายหัวไม่ถูกใจได้
  • Sweetness: ความหวานของกาแฟนั่นเอง ซึ่งความหวานกับความเปรี้ยว (Acidity) นี้แหละ ที่มักมาสวนทางกัน หวานมากจะเปรี้ยวน้อย หวานน้อยจะเปรี้ยวมาก
  • Aroma: อโรม่าคือกลิ่นของกาแฟนั่นเอง ซึ่งกาแฟดีๆ นั้นจะมีกลิ่นที่หอมและหลากหลาย อาทิเช่นกลิ่นคล้ายดอกไม้ กลิ่นคล้ายผลไม้ หรือกลิ่นคล้ายช็อกโกแลตนั่นเอง
  • Flavor: รสชาติของกาแฟ
  • Floral: กลิ่นและรสชาติที่ให้โทนไปในทางคล้ายกลิ่นดอกไม้ เช่นลาเวนเดอร์
  • Fruity: กลิ่นและรสชาติที่ให้โทนไปในทางคล้ายผลไม้ เช่นส้ม, สับปะรด, องุ่น, เบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่
  • Chocolate: กลิ่นและรสชาติที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับโกโก้หรือช็อกโกแลต (ในที่นี้ต้องเข้าใจว่าโกโก้สดหรือช็อกโกแลตธรรมชาติจะเป็นรสชาติที่ขมแล้วมีกลิ่นเฉพาะตัว ความหวานช็อกโกแลตเกิดจากการเติมน้ำตาลลงไป )
  • Herb: กลิ่นหรือรสชาติกาแฟที่ให้ความรู้สึกคล้ายสมุนไพร
  • Spice: กลิ่นหรือรสชาติกาแฟที่ให้ความรู้สึกคล้ายเครื่องเทศ
  • Nutty: กลิ่นหรือรสชาติกาแฟที่ให้ความรู้สึกคล้ายถั่ว
  • Earthy: กลิ่นหรือรสชาติกาแฟที่ให้ความรู้สึกคล้ายดิน
  • Smoky: กลิ่นหรือรสชาติกาแฟที่ให้ความรู้สึกคล้ายมีกลิ่นควันไฟ
  • Burn: รสชาติกาแฟที่มีกลิ่นไหม้
  • Balance: ความสมดุลย์ของรสชาติ ไม่เปรี้ยวเกินไป ไม่หวานเกินไป เป็นจุดที่เรียกว่าพอดี
  • Body: บอดี้คือความหนาของกาแฟครับ ลองจินตนาการตอนดื่มนมกับดื่มน้ำเปล่าดู ความหนาของน้ำกับนมก็จะต่างกันใช่มั้ย คือนมจะหนากว่าน้ำมาก ซึ่งนั่นก็คือ Body ของนมสูงกว่าน้ำนั่นเอง สำหรับกาแฟแต่ละประเภทบอดี้ก็จะต่างกันเช่นกัน
  • Creamy/ Full Body: สำหรับกาแฟที่มีความหนา หรือ Body มากๆ หลายครั้งคนในวงการกาแฟจะเรียกว่าเป็นอารมณ์ Creamy หรือ Full Body
  • Watery: สำหรับกาแฟที่ความหนาน้อย หรือ Body บาง คนในวงการจะใช้ศัพท์ว่า watery

กาแฟ Blend เกิดจากการที่เรานำเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ตั้งแต่ 2 สายพันธุ์ขึ้นไปมาผสมเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นรสชาติใหม่ๆ ที่ใครหลายคนไม่เคยลิ้มรสมาก่อน มิติของการ Blend จึงถือกำเนิดขึ้น กลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนรักกาแฟสด ที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับคนๆ นั้นเลยก็ว่าได้ ถึงกับมีการใช้ชื่อตนเอง หรือชื่อประเทศในการบ่งบอกการ Blend แบบนั้นๆ เลยทีเดียว เช่น American Blend, Swiss Blend เป็นต้น

ส่วนอีกคำหนึ่งที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ เช่นกัน ก็คือ “Single Origin” ที่หมายถึงการนำเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกเดียวกัน ประเทศเดียวกัน โดยการทำ Single Origin ไม่เน้นการผสมให้เกิดรสชาติใหม่แบบการ Blend แต่เป็นการทำขึ้นเพื่อชูเอกลักษณ์ในรสชาติที่มีอยู่ในกาแฟแต่ละตัว
การ Blend กาแฟ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และรสชาติไม่เหมือนใคร มีหลักเกณฑ์ให้ทำคร่าวๆ ดังนี้

  1. การ Blend เมล็ดต่างสายพันธุ์ ตั้งแต่ 2 สายพันธุ์ขึ้นไป
  2. การ Blend เมล็ดสายพันธุ์เดียวกัน แต่การคั่วที่แตกต่างกัน เช่น คั่วแบบอ่อน ผสมกับ คั่วเข้ม เป็นต้น
  3. การ Blend จากแหล่งเพาะปลูกที่ต่างกัน
  4. การ Blend เมล็ดกาแฟที่มีอายุแตกต่างกับ

เมื่อผ่านการคัดเลือกทั้งหมดนี้แล้ว ผู้ Blend สามารถแยกวิธีการออกเป็น 2 วิธีคือ การ Blend ก่อนนำไปคั่ว หรือ คั่วเสร็จแล้วค่อยน้ำมา Blend ก็ได้

อย่างไรก็ดี ประโยชน์ของการ Blend เมล็ดกาแฟ คือการทำให้เสน่ห์ของกาแฟสด เพิ่มพูนมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ กาแฟ แต่ละแก้ว ได้รสชาติที่หลากหลาย ต่างสไตล์และต่างความรู้สึกกันไป เรียกได้ว่าเป็นสื่อกลางแทนความรู้สึกของผู้ Blend ในหลายๆ ทางเลยทีเดียว

สายพันธุ์กาแฟ หลักๆ มีอยู่ 4 สายพันธุ์

  1. กาแฟอาราบิกา (Arabica)
    เป็นกาแฟที่มีรสชาติที่กลมกล่อมหอมละมุน จึงได้รับความนิยมสูงสุดในร้านกาแฟสดทั่วโลก และเป็นสาเหตุที่ทั่วโลกนิยมปลูกมากเป็นอันดับ1 ของโลกถึงร้อยละ80 จุดเด่นของกาแฟอาราบิกาคือ หอมกลิ่นช็อกโกแลต รสนุ่มละมุน ดื่มง่าย มีปริมาณคาเฟอีนต่ำ อาราบิกาเป็นกาแฟที่ชอบสภาพอากาศเย็น 15-25 องศาเซลเซียส จึงเหมาะที่จะปลูกในที่ภูมิประเทศสูงกว่า 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล สำหรับบ้านเรานิยมปลูกทางภาคเหนือนั่นเอง
  2. กาแฟโรบัสต้า (Robusta)
    คอกาแฟที่ชอบรสขมๆ เข้มๆ ต้องไม่พลาดกาแฟโรบัสต้า จุดเด่นของโรบัสคือความเข้มข้นของรสชาติ กลิ่นหอมน้อยกว่า อาราบิก้า แต่บอดี้เยอะ คาเฟอีนสูง เหมาะกับคนที่อยากตาสว่างทำงานได้ยาวๆ แต่ด้วยความที่ขม ส่วนมากเขาจะเอาโรบัสต้าไปทำกาแฟสำเร็จรูป หรือเอาไปเบลนด์ กับชนิดอื่นเพื่อได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ สภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับโรบัสต้าคืออากาศร้อนชื้นแบบภาคใต้บ้านเรานี่เอง โรบัสต้า ดูแลง่าย ทนทานต่อโรค
  3. กาแฟเอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa)
    เป็นสายพันธุ์กาแฟที่นิยมเพาะปลูกในแถบแอฟริกากลาง ส่วนบ้านเราไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ป็นอีกหนึ่งเมล็ดกาแฟที่มีผู้คนนิยมนำมารับประทานกันเป็นจำนวนหนึ่ง ในประเทศอัฟริกา รสชาติและลักษณะของเมล็ดคล้ายโรบัสต้า รสชาติเข้มข้นและขมพร่า แต่เมล็ดแก่จะมีรสชาติหอมกลมกล่อมคล้ายกับอาราบิกา สำหรับการปลูกกาแฟพันธุ์นี้ ถือว่าปลูกง่ายมาก และทนทานต่อสภาพอากาศแล้ง ได้ดี
  4. กาแฟลิเบอริก้า (Liberica)
    มีต้นกำเนิดของพันธุ์มาจากแอฟริกา ถิ่นกำเนิดของลิเบอริก้าอยู่ที่ไลบีเรียและไอวอรีโคสต์ ส่วนมากพันธุ์นี้จะได้ชื่อว่าเป็นกาแฟคุณภาพต่ำกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ แต่รสชาติไม่ได้แย่นะแถมได้รับความนิยมแพร่หลายในประเทศแถบสแกนดิเนเวียอีกด้วย รสชาติใกล้เคียงกับอาราบิกา ได้รสเปรี้ยวอมหวานของเบอร์รี บาริสต้านิยมไปเบลนด์กับพันธุ์อื่นเพื่อเพิ่มเอกลักษณ์มากขึ้น สภาพอากาศที่กาแฟลิเบอริก้าชอบคืออากาศร้อนชื้นและน้ำชุ่มๆ

เอธิโอเปีย อาจเป็นประเทศไม่ได้ร่ำรวย

แต่กลับเป็นต้นกำเนิดของกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า เช่น เอธิโอเปียร์ฮาร์รา ที่กลิ่นคล้ายไวน์บลูเบอร์รี่ เข้มข้น ซึ่งหาไม่ได้จากกาแฟของประเทศอื่นๆ เอธิโอเปียตะวันออก รสชาติจะกลมกล่อมติดลิ้นนาน งั้นเรามาเริ่มตั้งแต่คนค้นพบเมล็ดกาแฟเอธิโอเปีย กันเลยดีกว่า เขาคือ คาลดี (Kaldi) ผู้ที่ค้นพบกาแฟคนแรก นั่นเอง โดยพื้นฐานคาลดี เป็นเพียงคนเลี้ยงแพะธรรมดาๆ แต่ความไม่ธรรมดาคือคาลดี สังเกตว่าแพะของเขาที่กินเชอร์รี่ เข้าไปมีความกระตือรือล้นผิดแพะของบ้านอื่นๆ คาลดี จึงนำเชอร์รี่เหล่านั้นไปให้บรรดานักบวช ด้วยเข้าใจว่าคงเป็นผลไม้ปีศาจเป็นแน่แท้ หมู่นักบวชได้โยนเชอร์รี่นั้นลงในกองไฟ และแล้วจุดกำเนิดเรื่องราว ของกาแฟ ethiopia ก็เริ่มขึ้นเพราะกลิ่นการเผากาแฟหอมฟุ้งไปทั่วเขตแคว้น คาลดี และนักบวชมองหน้ากันคิดว่าไฟมอดลงเมื่อใดจะแยกเชอร์รี่เหล่านั้นออกจากขี้เถ้าถ่าน แล้วพวกเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ จากนั้นได้นำเมล็ดกาแฟนั้นไปใส่ไว้ในเหยือกน้ำร้อนแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจน้ำในเหยือกนั้นอีกเลย

จนกระทั่งมีนักบวชท่านหนึ่งตื่นจากการสร่างเมาและได้จิบน้ำในเหยือกนั้น แล้วพบว่ารสชาติของน้ำนั้นมันช่างหอมหวนซ่ะเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นคือร่างกายกระปี้กระเปร่าขึ้นด้วย นักบวชที่ได้ดื่มสามารถสวดมนต์ได้ยาวนานจนถึงเช้า และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบการดื่มกาแฟของโลก การค้นพบ กาแฟ เอธิโอเปีย ที่รสหอมหวานเหมือนได้กลิ่นดอกไม้แห้ง ยิ่งถ้าชงแบบดริป จะยิ่งได้กลิ่นหอมคล้ายผลไม้รสเปรี้ยวเตะจมูกอีกด้วย รสชาติของกาแฟเอธิโอเปีย นอกจากกลิ่นหอมแล้ว ยังมีรสเปรี้ยวสดชื่นคล้ายเลม่อน เมื่อดื่มจะรู้สึกกระชุ่มกระชวย ใครที่ง่วงเหงาหาวนอน เมื่อได้ดื่มกาแฟเอธิโอเปีย น่าจะรู้สึกไม่ต่างไปจากแพะของคาลดีเลยทีเดียว

ตั้งแต่วันนั้น คนทั่วโลกก็ได้รู้จัก และ หลงรัก กาแฟเอธิโอเปีย ที่กลิ่นหอมละมุนละไม เมื่อใดที่เติมน้ำตาลลงไปตัดกับความเปรี้ยว สักนิดยิ่งทำให้รสชาติของกาแฟเอธิโอเปีย กลมกล่อม ละมุนลิ้นมากยิ่งขึ้น

PAYDAY

4.8/5
4.6/5
Hours
Minutes
Seconds
ขายไปแล้ว 6,789
จำนวนสินค้าที่เหลือก่อนหมดโปรโมชั่น 94%